พระบุชาหลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค นครสวรรค์ หน้าตัก9นิ้ว อุดอัฐิธาตุหลวงพ่อพรหม สร้างโดยสำนักรัศมีพรหมโพธิโก
|
||||||||||||||||
|
||||||||||||||||
ส่งข้อความ
|
||||||||||||||||
ชื่อร้านค้า
|
พลศรีทองพระเครื่อง2 ( บู เชียงราย ) | |||||||||||||||
โดย
|
ponsrithong2 | |||||||||||||||
ประเภทพระเครื่อง
|
พระบูชา | |||||||||||||||
ชื่อพระ
|
พระบุชาหลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค นครสวรรค์ หน้าตัก9นิ้ว อุดอัฐิธาตุหลวงพ่อพรหม สร้างโดยสำนักรัศมีพรหมโพธิโก |
|||||||||||||||
รายละเอียด
|
พระบุชาหลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค นครสวรรค์ หน้าตัก9นิ้ว อุดอัฐิธาตุหลวงพ่อพรหม สร้างโดยสำนักรัศมีพรหมโพธิโก ปลุกเสกโดย ครูบาชุ่มโพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน ครูบาอินทรจักร อินทจักรโก วัดน้ำบ่อหลวง จ.เชียงใหม่ ครูบาพรหมา พรหมจักรโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน ครูบาขันแก้ว อุตตโม วัดสันพระเจ้าแดง จ.ลำพูน หายากมากครับพระชุดนี้อยู่กับกลุ่มลูกศิษย์นานๆจะออกมาให้เห็นชักองค์ ----------- หากกล่าวถึงคณะรัศมีพรหมโพธิโก หรือกล่าวถึงนาม คุณหมอสมสุข คงอุไร ผู้สนใจศึกษาทางจิตศาสตร์หรือผู้นิยมพระเครื่องวัตถุมงคลรุ่นเก่า เชื่อว่าต้องคุ้นเคยกับชื่อที่กล่าวถึงนี้ เพราะ คุณหมอสมสุข ท่านเป็นผู้ชอบแสวงหาครูบาอาจารย์ เดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อกราบครูบาอาจารย์ และยังได้สร้างพระเครื่องขึ้นมาหลายรุ่น โดยเฉพาะพระเครื่องของ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค คุณหมอ ได้จัดสร้างและเข้าไปเกี่ยวอยู่หลายรุ่น หลวงพ่อพรหมนี้เป็นครูบาอาจารย์ที่คุณหมอเคารพมาก กล่าวไปแล้วคุณหมอท่านพบครูบาอาจารย์มามาก และหนึ่งในครูบาอาจารย์ที่คุณหมอเคารพสุดใจ คือ หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร พระอริยะสงฆ์ผู้อยู่เหนือกาลเวลา ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก ครูบาอาจารย์เป็นใคร?แล้วฝึกปฎิบัติธรรมกันอย่างไร? คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก เริ่มก่อตั้งโดยอาจารย์หมอสมสุข คงอุไร เมื่อพ.ศ.2515ตอนนั้นยังใช้ชื่อคณะศิษย์รัศมีพรหม โดยตั้งตามคำพูดของหลวงพ่อพรหม ถาวโรวัดช่องแค จ.นครสวรรค์ หลังจากที่ปลุกเสกพระสมเด็จรุ่น ปืนแตก พ.ศ.2515 เมื่อปลุกเสก เสร็จท่านว่าพระรุ่นนี้มีรัศมีสว่างไสวเหมือนรัศมีของพรหม สว่างออกไปข้างละ 9 วา ดังนั้นอาจารย์หมอสมสุข คงอุไร จึงนำคำว่า รัศมีพรหมมาตั้งเป็นชื่อคณะ เมื่อหลวงพ่อพรหมมรณภาพลงในปี 2518 อาจารย์หมอสมสุข คงอุไร ได้เจออาจารย์องค์ที่ 2 คือครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน ท่านจึงนำฉายาโพธิโก มาต่อท้ายคำว่า รัศมีพรหม จึงกลายมาเป็น“คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก” ครูบาอาจารย์ของคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโกที่ถ่ายทอดหลักการ ปฎิบัติอานาปานสติอันสัมปะยุตต์ด้วยสมาธิ,ฌาน,อรูปฌาน,และวิปัสสนญาณ ให้แก่คณะศิษย์ฯ มีดังนี้ 1.หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค จ.นครสวรรค์ 2.ครูบาชุ่มโพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน 3.ครูบาอินทรจักร อินทจักรโก วัดน้ำบ่อหลวง จ.เชียงใหม่ 4.ครูบาพรหมา พรหมจักรโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน< 5.ครูบาขันแก้ว อุตตโม วัดสันพระเจ้าแดง จ.ลำพูน ตามที่สอบถามหมอสมสุข ไว้ว่าแต่ละองค์สอนการปฎิบัติให้แค่ไหท่านกล่าวว่าหลวงพ่อพรหม สอนถึงรูปฌาน 4 ก็มรณภาพ โดยครั้งแรก พ.ศ.2514 ที่ท่านรับอาหมอสมสุขเป็นศิษย์ ท่านบอกว่า ”สมบัติอยู่ในท้องเอ็งไปหาเอา เอ็งไปถีบลมให้ขาด” ซึ่งการถ่ายทอดทั้งหลักธรรม และบอกเล่าประวัติของท่านนั้น เวลากลางวันห้ามถาม พูดคุยเรื่องนี้ตอนกลางคืนเวลาเที่ยงคืนท่านจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดบนหัวนอน เป็นสัญญาณให้เข้าไปถามเรื่องราวต่างๆ ได้ทั้งประวัติท่านและหลักการปฎิบัติอานาปาฯ(หลวงพ่อพรหม เรียกพุทธคุณ) ครูบาชุ่ม สอนถึงอรูปฌาน3 ก็มรณภาพ เพราะอาหมอสมสุข ได้เจอท่านตั้งแต่ปี 2518 จนถึง 2519 เดือนกันยายน ท่านก็มรณภาพ เป็นระยะเวลา 11 เดือนเท่านั้น แต่การเป็นศิษย์ระหว่างครูบาชุ่มและอาหมอ นับว่าแปลกมาก กล่าวคือ ตั้งแต่หลวงพ่อพรหมมรณภาพ อาหมอสมสุขก็ตระเวนไปหาครูบาอาจารย์ตามที่ต่างๆซึ่งในขณะนั้น พ.ศ.2518มีมากมาย ทั้งอีสาน,ตะวันออก,ตะวันตก ไปหมดแต่ไม่มีองค์ไหนที่อาหมอสมสุขถามหลักปฎิบัติตามที่ หลวงพ่อพรหมสั้งสอนแล้วตอบอธิบายได้เลย เป็นเวลา 6 เดือนจึงมีลูกศิษย์ในคณะมาบอกว่า หลวงพ่อพรหมมาเข้าฝันบอกให้ไปบอกอาหมอสมสุขไม่ต้องไปหาพระองค์ไหนแล้ว ให้เอาเหรียญพระเครื่องที่สะสมไว้มาดูหลังเหรียญ เหรียญไหนมียันต์อิติปิโสแปดทิศ ให้ไปหาองค์นั้น ดังนั้น ในเดือนสิงหาคม 2518 อาหมอสมสุขจึงขึ้นไปพบครูบาชุ่มที่ วัดวังมุย เนื่องจากเหรียญวัตถุมงคลของท่านด้านหลังเป็นยันต์อิติปิโสแปดทิศ เมื่อเข้า ไปหาท่าน ท่านถามว่ามีธุระอะไรที่มาหา อาหมอสมสุขตอบว่าพระอาจารย์ผมที่สอนสมาธิให้ท่านมรณภาพ ผมกำลังหาคนสอนต่อ แต่หาไม่ได้ ไม่มีใครรู้แนวปฎิบัตินี้เลย ครูบาชุ่มท่านจึงพูดว่า อ๋อโยมนี่เองหรือ เมื่อคืนนี้มีพระรูปหนึ่ง แล้วท่านก์บอกลักษณะของหลวงพ่อพรหมถูกทุกอย่างออกมา มาหาอาตมาบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีลูกศิษย์ผมมาหาให้ท่านช่วยรับเป็นลูกศิษย์ถ่ายทอด หลักปฎิบัติอานาปานสติฯให้ด้วย ซึ่งอาตมาก็รับปาก ดังนั้น เมื่อเป็นโยมหมออาตมาก็ยินดีรับโยมหมอเป็นลูกศิษย์ และท่านก็สอนการปฎัติสมาธิตามหลักอานาปาฯ ให้จนมรณภาพลง และท่านยังแนะนำให้ไปหาครูบาสองพี่น้อง คือ ครูบาอินทรจักรและครูบาพรหมจักร ซึ่งท่านบอกว่าเป็นพระที่ดีน่ากราบไหว้บูชา ทั้ง 2 องค์ ก็รับอาหมอสมสุขและคณะศิษย์รัศมีฯเป็นลูกศิษย์ครูบาขันแก้วและครูบาพรหมจักร ทั้งสององค์ ก็ถ่ายทอดหลักปฎิบัติต่อมาให้แก่อาหมอสมสุขจนถึงดวงตาเห็นธรรม รวมทั้งลูกศิษย์ในคณะก็ปฎิบัติจนได้ดวงตาเห็นธรรมกันหลายคนในช่วงขณะปี พ.ศ.2523 ครูบาพรหมจักรท่านได้กล่าวเตือนไว้ว่า โยมหมอให้บอกลูกศิษย์ในคณะศิษย์ฯไว้นะ “ให้ระวังความรู้ท่วมหัวจะเอาตัวไม่รอด”ซึ่งก็จริงของท่าน ศิษย์ในคณะ หลายคนได้มีการกระทำที่ผิดต่อครูบาอาจารย์และแพ้จิตใจตนเอง ซึ่งมีผลทำให้คุณธรรมที่ได้เสื่อมลง(คุณธรรมของพระโสดา,สกิทาคา,อนาคา เป็นกุปธรรม ยังกลับกรอกเสื่อมถอยได้ ส่วนพระอรหันต์เป็นอกุปธรรมไม่มีการเสื่อมถอยแล้ว)ซึ่งการได้ “ดวงตาเห็นธรรม” นี้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก คือ พระโสดาบันซึ่งไม่ได้มีฤทธิ์มีเดช เหาะเหินเดินอากาศได้แต่อย่างใด แต่มีคุณธรรมอันวิเศษเกิดขึ้นในจิตใจเท่านั้น เมื่อมีจิตใจที่ตกต่ำจากคุณธรรมวิเศษนั้นก็ทำให้คุณธรรมนั้นเสื่อมจากจิตใจได้ดังนั้นบุคคลเมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วควรจะ”เดาะวิปัสสนาญาณ” ให้แก่กล้า เพื่อทำให้อินทรีย์แก่กล้า จะได้ละตัดสังโยชน์และ อนุสัยที่หลงเหลือให้หมดสิ้นไป ดังนั้น ครูบาพรหมจักรท่านจึงให้ปริศนาธรรม ไว้สำหรับศิษย์ผู้ได้ “ ดวงตาเห็นธรรม ” แล้วว่า“ ผู้ใดตามดูจิตโดยความเป็นธรรม ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงของมาร “ ครูบาอาจารย์ทั้ง 5 องค์ของคณะศิษย์รัศมีฯ ได้สั่งสอนหลักปฎิบัติอานาปาฯ ทั้งสมถกัมมฐานและวิปัสสนากัมมฐานทั้ง 2 อย่าง ซึ่งมีการถกเถียงกันมากมายว่าสมถะฯ เป็นโลกียะ ไม่ต้องปฎิบัติให้ปฎิบัติวิปัสสนาฯ เลยเพราะเป็นโลกุตตระ แต่พระอาจารย์ของคณะศิษย์ฯ ได้อธิบายไว้ว่า สมถะฯ และวิปัสสนาฯ เป๊นธรรมที่เกื้อกูลกัน เพราะถ้าไม่ปฎิบัติสมถะฯ ก็ไม่สามารถเข้าสู่วิปัสสนาฯ ได้ เพราะการจะเข้าสู่วิปัสสนาญาณได้นั้น ต้องเปลี่ยนบาทของสมถะฯ ในอรูฌาน 3 เพื่อจะยกเข้าสู่วิปัสสนาญาณฯ (เพื่อทำจิตให้ปราโมทยิ่ง,ทำจิตให้ตั่งมั่น ทำจิตให้ปล่อยว่าง) บางคนบอกว่า สมถะฯ เป็นพวกฝึกฌาน ซึ่งทำให้เกิดฤทธิ์ (สมถะฯประกอบด้วย ฌาน 4 และอรูปฌาน 4 ) ซึ่งจะขอถามผู้รู้ว่าการฝึกฌานมันเกิดฤทธิ์ตรงไหน ฌาน 4 เป็นธรรมที่แผดเผากิเลสอย่างหยาบ (ผลคือค่อยๆละการยึดติดในรูป เช่น การชอบรถยี่ห้อนี้ สีนี้ ,ชอบสร้อยทองเส้นนี้ ฯลฯ แต่เป็นการละอย่างช้าๆ แบบไม่รู้ตัว) อรูปฌาน 4 เป็นธรรมที่แผดเผากิเลสอย่างละเอียด (คือการละเกี่ยวกับนาม เช่น ชื่อเสียง , เกียรติยศ ,การชมเชย , สรรเสริญ เยินยอ เป็นต้น) ที่ถามว่าฌานมีฤทิ์ตรงไหนกล่าวคือ ฌาน 4 ประกอบด้วย วิตก-การยกอารมณ์ขึ้นสู่จิต วิจาร-การประคองอารมณ์นั้นไว้ ปิต-ผรณาปิติ ความอิ่มเอิบ ซาบซ่านใจในการสามารถยกวิตก , วิจารขึ้นมาได้ สุข-สุขที่เกิดจากการหน่ายปิตินั้น อุเบกขาเอกัตคตา-ความเป็นอารมณ์เดียวแห่งจิตหลังจากละสุขได้ ขอถามว่า อารมณ์แห่งฌาน 4 อันประกอบด้วย วิตก , วิจาร, ปิติ , สุข , อุเบกขาเอกัตคตารมณ์ นั้นทำให้มีฤทธิ์ตรงไหน อรูปณาน 4 ประกอบด้วย 1.อากาสานัญจายตนฌาน-เอาอากาศเป็นอารมณ์จึงจะก้าวล่วงรูปสัญญาทั้งปวงได้ และดับปฏิฆสัญญา , นานัตตสัญญาได้ 2.วิญญาณัญจายฌาน-การกำหนดธาตุรู้ทางใจ (มโนธาตุ) 3.อากิญญาณัญจายฌาน-การพิจารณาว่าไม่มีอะไรในอารมณ์ (ความว่าง) 4.เนวสัญญายตนฌาน-การพิจารณาว่ามีสัญญก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ดังนั้น อารมณ์ของจิตในอรูปฌาน 4ทำให้เกิดฤทธิ์ตรงไหน ครูบาอารย์ทั้ง 5 องค์ของคณะศิษย์ฯ จึงสอนวิธีปฎิบัติมาอย่างนี้ ซึ่งให้ปฎิบัติทั้ง สมถะฯ และวิปัสสนาฯเพราะธรรมทั้งสองอาศัยซึ่งกันและกัน หลังจากครูบาอาจารย์ทั้ง 5 นี้แล้วทาง อาหมอสมสุข ได้นำคณะศิษย์ฯ ไปกราบไหว้ครูบาอาจารย์อีกหลายองค์และมีหลายองค์และมีหลายภาคของไทย เช่น ภาคเหนือ-ครูบาหล้า วัดป่าตึง จ.เชยงใหม่ ,ครูบาสุรินโท วัดศรีเตี้ย จ.ลำพูน ,ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง จ.เชียงใหม่ ,ครูบาน้อย วัดบ้านปง จ.เชียงใหม่ ,ครูบาธรรมธิ วัดสันป่าตึง จ.เชียงใหม่ ฯลฯ ภาคกลาง-หลวงปู่เจ๊ก วัดระนาม ,หลวงปู่ผิว วัดสง่างาม จ.ปราจีนบุรี ,หลวงปู่แช่ม วัดดอนยามหอม ,หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ,หลวงปู่ทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง หลวงปู่แก้ว วัดช่องลม ฯลฯ ภาคตะวันออก-ท่านพ่อคร่ำ วัดวังหว้า จ.ระยอง ,ท่านพ่อสีนวล วัดเกวียนหัก จ.จันทบุรี ,หลวงปู่ชม วัดโป่ง จ.ชลบุรี หลวงเตี่ย วัดประชุมคงคา หลวงปู่พุฒ วัดเขาไม้แดง ฯลฯ ภาคตะวันตก-หลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม หลวงปู่ชอบ วัดเขารังเสือ หลวงปู่จ่าง วัดเขื่อนเพชร ฯลฯ ภาคใต้-พ่อท่านแก้ว วัดโคกโคน จ.พัทลุง ,พ่อท่านฤทธี วัดบ้านสวน ,พ่อทานแดง วัดศรีมหาโพธิ์ ,พ่อท่านปลอด วัดหัวป่า , พ่อท่านแดง วัดขุนทอง ,พ่อท่านเนียน วัดต้นเลียบ ,หลวงปู่สุภา วัดเขารัง จ.ภูเก็ต พ่อหลวงคล้อย วัดถ้ำเขาเงิน หลวงปู่กล่ำ วัดศาลาบางปูน หลวงปู่เล็ก วัดประดูเรียง เป็นต้น ซึ่งครูบาอาจารย์แต่ละองค์กล่าวรับรองยืยันกับทางคณะศิษย์รัศมีฯ ว่าการปฏิบัติอานาปานสติฯ อนสัมประยุตต์ ด้วยสมาธิ ,ฌาน ,อรูปฌาน ,วิปัสสนาญาณนี้ ที่พวกลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้รับการสั่งสอนจากอาหมอสมสุข มานี้ถูกต้องแล้ว เป็นการปฎิบัติที่ตรงที่สุด ไม่มีทางลัดกว่านี้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านได้วางไว้เป็นขั้นเป็นตอน พวกเราจะเข้ามรรคผลนิพพานได้ ก็ต้องเดินตามที่พระพุทธองค์ได้วางไว้แล้วเท่านั้น ไม่มีทางอื่น ทางอาจารย์หมอสมสุขได้กล่าวไว้ว่า “การให้ธรรมทาน (การสอนการปฎิบัติธรรม) ถ้าผู้ให้รู้จริงก็ถึงมรรคผลนิพพาน” “แต่ถ้าให้ผู้รู่ไม่จริง ก็ถึงนรกมหาอเวจีได้ง่ายๆ เหมือนกัน” และ หลวงพ่อพรหม ถาโร ท่านได้กล่าวกับอาจารย์หมอสมสุขไว้ว่า 1. คนที่จะมาปฎิบัติกับเอ็ง เขาเหมือนกับน้ำเต็มแก้วมา เอ็งต้องให้เขาริมน้ำในแก้วทิ้งให้หมด แล้วเอ็งค่อยเติมน้ำใส่แก้วให้เขา ถ้าเขายังมีน้ำเต็มแก้วอยู่ เอ็งขืนริมน้ำของเอ็งเติมให้เขา น้ำในแก้วเขาล้นหมด = (คนที่มาเรียนปฎิบัติธรรมต้องลบความทรงจำเกี่ยวกับความรู้ในการปฏิบัติเก่า ๆ ที่เคยเรียนมาทิ้งให้หมดก่อน) 2.เอ็งบอกเขาว่าสมาธิอันแท้จริงหลับตามีอยู่ลืมตาสมาธินั้นก็ต้องยังอยู่ แต่ถ้าหลับตาเอ็งมองเห็นลืมตาแล้วหายหมดอันนั้นเป็นสมาธิของปลอม = (สมาธิต้องทำได้ทั้งหลับตาและลืมตา)การปฎิบัติอานาปาสติฯ ความที่ครูบาอาจารย์ทั้ง 5 องค์ ของคณะศิษย์ฯ ได้ถ่ายทอดมาให้นี้ตรงนี้อาจสรุปได้ว่า การปฎิบัติอานาปาสติฯ ตามที่ครูบาอาจารย์ทั้ง 5 องค์ ได้ถ่ายทอดให้มานี้ ถูกต้องตามคำสั่งสอนของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้จาก หนังสือปฐมสมโภค ที่กล่าวถึงประพุทธองค์ในคืนตรัสรู้ แนวทางปฎิบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าหรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องผ่านอารมณ์แห่ง ฌาน อรูปฌาน และ วิปัสสนาญาณ ตามลำดับ ถ้ามีแนวทางอื่นแสดงว่าพระพุทธองค์ต้องบัญญัติไว้แล้วหรือถ้ามีแนวทางอื่นแสดงว่าต้องมีผู้ที่เก่งกว่าพระพุทธองค์แล้วจะมีไหมละครับ |
|||||||||||||||
ราคา
|
โทรถาม | |||||||||||||||
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
|
0639695995 | |||||||||||||||
ID LINE
|
@fsd8020u (มี@) | |||||||||||||||
จำนวนการเข้าชม
|
11 ครั้ง | |||||||||||||||
บัญชีธนาคารที่ใช้ยืนยันตัวตน
|
ยังไม่ส่งข้อมูล
|
|||||||||||||||
|